Dictionary : English, Thai, Pali. Link : Lexitron, RoyDict, BudDict, ETipitaka, PpmDict, Longdo.
Search: .

Budhism Thai-Thai Dict : , 63 found, display 1-50
  1. สาวเภสัช : น้ำฝาดเป็นยา, ยาที่ทำจาน้ำฝาดของพืช เช่น น้ำฝาดของสะเดา น้ำฝาดระดอม น้ำฝาดบรเพ็ด เป็นต้น
  2. สสังขาริ : “เป็นไปับด้วยารชันำ”, มีารชันำ ใช้แ่จิตที่คิดดีหรือชั่ว โดยถูระตุ้นหรือชัจูงจาภายนอ มิใช่เริ่มขึ้นเอง และมีำลังอ่อน ตรงข้ามับ อสังขาริ ซึ่งแปลว่า ไม่มีารชันำ คือ จิตคิดดีหรือชั่ว โดยเริ่มขึ้นเอง มิใช่ถูระตุ้นหรือชัจูงจาภายนอ จึงมีำลังมา
  3. อนาถบิณฑิ : อุบาสคนสำคัญในสมัยพุทธาล เดิมชื่อ สุทัตต์ เป็นเศรษฐีอยู่ที่เมืองสาวัตถี ต่อมาได้นับถือพระพุทธศาสนา บรรลุโสดาปัตติผลเป็นผู้มีศรัทธาแรงล้า สร้างวัดพระเชตวันถวายแด่พระพุทธเจ้าและภิษุสงฆ์ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ประทับจำพรรษารวมทั้งหมดถึง ๑๙ พรรษา ท่านอนาถบิณฑิ นอจาอุปถัมภ์บำรุงพระภิษุสงฆ์แล้วยังได้สงเคราะห์คนยาไร้อนาถาอย่างมามายเป็นประจำ จึงได้ชื่อว่าอนาถบิณฑิ ซึ่งแปลว่า ผู้มี้อนข้าวเพื่อคนอนาถา ท่านได้รับยย่องเป็นเอตทัคคะในหมู่ทายฝ่ายอุบาส
  4. อสังขาริ : ดู สสังขาริ
  5. จริมจิต : จิตดวงสุดท้าย ซึ่งจะดับไปเมื่อพระอรหันต์ปรินิพพานด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
  6. จัวัตติสูตร : ชื่อสูตรที่ ๓ แห่งทีฆนิาย ปาฏิวรรค พระสุตตันตปิฎ พระพุทธเจ้าตรัสสอนภิษุทั้งหลายให้พึ่งตน คือพึ่งธรรม ด้วยารเจริญสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งจะทำให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ดำเนินอยู่ในแดนของตนเองที่สืบมาแต่บิดา จะมีแต่ความดีงามเจริญขึ้นไม่เปิดช่องให้แ่มาร เช่นเดียวับพระเจ้าจัรพรรดิที่ทรงประพฤติตามหลัจัรวรรดิวัตร อันสืบันมาแต่บรรพชนของพระองค์ ย่อมทำให้จัรรัตนะบังเิดขึ้นมาเอง, จัรวรรดิวัตร นั้นมี ๔ ข้อใหญ่ ใจความว่า ๑.พระเจ้าจัรพรรดิเป็นธรรมาธิปไตย และจัดารคุ้มครองป้องันโดยชอบธรรม แ่ชนทุหมู่เหล่าในแผ่นดิน ตลอดไปถึงสัตว์ที่ควรสงวนพันธุ์ทั้งหลาย ๒.มิให้มีารอันอธรรมเิดขึ้นในแผ่นดิน ๓.ปันทรัพย์เฉลี่ยให้แ่ผู้ไร้ทรัพย์ ๔.ปรึษาสอบถามารดีชั่ว ข้อควรและไม่ควรประพฤติ ะสมณพราหมณ์ ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ อยู่เสมอ; จัรวรรดิวัตร ๔ ข้อนี้ บางทีจัดเป็น ๕ โดยแยข้อ ๑.เป็น ๒ ข้อ คือ เป็นธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่อย่างหนึ่ง ับจัดารคุ้มครองป้องันอันชอบธรรม อย่างหนึ่ง, นอจานั้น สมัยต่อมา อรรถถาจัดแบ่งซอยออไป และเพิ่มเข้ามาอี รวมเป็น ๑๒ ข้อ เรียว่า จัรวรรดิวัตร ๑๒ ; พระสูตรนี้ถือว่าเป็นคำสอนแสดงหลัวิวัฒนาารของสังคมตามแนวจริยธรรม ล่าวถึงหลัารปครอง และหลัความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐิจับจริยธรรม; เรื่องพระศรีอารยเมตไตรย ็มีต้นเค้ามาจาพระสูตรนี้
  7. ปฏิสนา : ารล่าวคัดค้านจังๆ (ต่างจาทิฏฐาวิัมม์ ซึ่งเป็นารแสดงความเห็นแย้ง ชี้แจงความเห็นที่ไม่ร่วมด้วยเป็นสวนตัว แต่ไม่ได้คัดค้าน)
  8. ปัญจสติขันธ : ชื่อขันธะที่ ๑๑ แห่งจุลวรรค วินัยปิฎ ว่าด้วยเรื่องารสังคายนาครั้งที่ ๑
  9. ปาริวาสิวัตร : ธรรมเนียมที่ควรประพฤติของภิษุผู้อยู่ปริวาส
  10. ผ้าวัสสาวาสิสาฏิ : ดู ผ้าจำนำพรรษา
  11. ผ้าวัสสิสาฏิ : ดู ผ้าอาบน้ำฝน
  12. ภัณฑาคาริ : ภิษุผู้ได้รับสมมติคือ แต่งตั้งจาสงฆ์ให้เป็นผู้มีหน้าที่รัษา เรือนคลังเ็บพัสดุของสงฆ์, ผู้รัษาคลังสิ่งของ
  13. ยุติ : ชอบ, ถูต้อง, สมควร
  14. วัสสิสาฎ : ดู ผ้าอาบน้ำฝน
  15. สวาขาตธรรม : พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว คือ ตรัสได้จริงไม่วิปริต ไพเราะในเบื้องต้น ท่ามลางและที่สุด
  16. สวาขาตนิยยานิธรรม : ธรรมที่พระพุทธเจาล่าวดีแล้ว นำผู้ประพฤติตามให้ออไปจาทุข์
  17. สัจจานุโลมิญาณ : ปรีชาเป็นไปโดยสมควรแารำหนดรู้อริยสัจ, ญาณอันคล้อยต่อารตรัสรู้อริยสัจ, อนุโลมญาณ ็เรีย (ข้อ ๙ ในวิปัสสนาญาณ ๙)
  18. สัตตสติขันธ : ชื่อขันะที่ ๑๒ แห่งจุลวรรคในพระวินัยปิฏ ว่าด้วยารสังคายนาครั้งที่ ๒
  19. สีมันตริ : เขตคั่นระหว่างมหาสีมาับขัณฑสีมา เพื่อมิให้ระคนัน เช่นเดียวับชานที่ั้นเขตของันและันในระหว่าง
  20. สุทธิปาจิตติยะ : อาบัติปาจิตตีย์ล้วน คืออาบัติปาจิตตีย์ ที่ไม่ต้องให้เสียสละสิ่งของ มี ๙๒ สิขาบท ตามปติเรียันเพียงว่า ปาจิตติยะหรือปาจิตตีย์
  21. อาคันตุวัตร : ธรรมเนียมที่ภิษุควรปฏิบัติต่ออาคันตุะ คือภิษุผู้จรมา เช่นขวนขวายต้อนรับ แสดงความนับถือ จัดหรือบอให้น้ำให้อาสนะ ถ้าอาคันตุะจะมาพัมาอยู่ พึงแสดงเสนาสนะ บอที่ทางและติาสงฆ์ เป็นต้น
  22. ัณฐชะ : อัษรเิดในคอ คือ อ อา ข ค ฆ ง
  23. สิถิล : พยัญชนะออเสียงเพลา ได้แ่พยัญชนะที่ ๑ ที่ ๓ ในวรรคทั้ง ๕ คือ ค, จ ช, ฏ ฑ, ต ท, ป พ
  24. ุศลรรมบถ : ทางแห่งรรมชั่ว, ทางแห่งรรมที่เป็นอุศล, รรมชั่วอันเป็นทางนำไปสู่ทุคติ มี ๑๐ อย่าง คือ ) รรม ๓ ได้แ่ ๑) ปาณาติบาต ารทำลายชีวิต ๒) อทินนาทาน ถือเอาของที่เขามิได้ให้ ๓) าเมสุมิจฉาจาร ประพฤติผิดในาม ข) วจีรรม ๔ ได้แ่ ๔) มุสาวาท พูดเท็จ ๕) ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด ๖) ผรุสวาจา พูดคำหยาบ ๗) สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ ค) มโนรรม ๓ ได้แ่ ๘) อภิชฌา ละโมบคอยจ้องอยาได้ของเขา ๙) พยาบาท คิดร้ายเขา ๑๐) มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจาคลองธรรม เทียบ ุศลรรมบถ
  25. ุศลเจตสิ : เจตสิอันเป็นอุศล ได้แ่ ความชั่วที่เิดขึ้นภายในใจ แต่งจิตให้เป็นบาป มี ๑๔ อย่าง แยเป็น ) สัพพาุศลสาธารณเจตสิ (เจตสิที่เิดทั่วไปับอุศลจิตทุดวง) ๔ คือ ๑) ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรั ๒) โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง ๓) โมหาคติ ลำเอียงเพราะเขลา ๔) ภยาคติ ลำเอียงเพราะลัว
  26. อัญญสมานาเจตสิ : เจตสิที่มีเสมอันแ่จิตพวอื่น คือ ประอบเข้าได้รับับจิตทุฝ่ายทั้งุสลและอุศล มิใช่เข้าได้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว มี ๑๓ แยเป็น ) สัพพจิตตสาธารณเจตสิ (เจตสิที่เิดทั่วไปับจิตทุดวง) ๗ คือ ผัสสะ (ความระทบอารมณ์) เวทนา สัญญา เจตนา เอัคคตา ชีวิตินทรีย์ มนสิาร (ความระทำอารมณ์ไว้ในใจ, ใส่ใจ) ข) ปิณณเจตสิ (เจตสิที่เรี่ยราย คือ เิดับจิตได้ทั้งฝ่ายุศลและอุศล แต่ไม่แน่นอนเสมอไปทุดวง) ๖ คือ วิต (ความตรึอารมณ์) วิจาร (ความตรองอารมณ์) อธิโมข์ (ความปัใจในอารมณ์) วิริยะ ปีติ ฉันทะ (ความพอใจในอารมณ์)
  27. อารัญญวัตร : ข้อปฏิบัติสำหรับภิษุผู้อยู่ป่า, ธรรมเนียมที่ภิษุผู้อยู่ป่าพึงถือปฏิบัติ ตามพุทธบัญญัติที่มาในวัตตขันธะ จัดเป็นหัวข้อได้ดังนี้ ) ๑) ภิษุผู้อยู่ป่า พึงลุขึ้นแต่เช้าตรู่ เอาถุงบาตรสวมบาตรแล้วคล้องบ่าไว้ พาดจีวรบนไหล่ สวมรองเท้า เ็บงำเครื่องไม้เครื่องดิน ปิดประตูหน้าต่าง แล้วลงจาเสนาสนะ (ที่พัอาศัย) ไป ๒) ทราบว่า “บัดนี้จัเข้าหมู่บ้าน” พึงถอดรองเท้า เคาะต่ำๆ แล้วใส่ถุงคล้องบ่าไว้ นุ่งให้เป็นปริมณฑล คาดประคดเอว ห่มสังฆาฏิซ้อนเป็น ๒ ชั้น ลัดลูดุม ชำระบาตรแล้วถือเข้าหมู่บ้านโดยเรียบร้อยไม่รีบร้อน ไปในละแวบ้านพึงปปิายด้วยดี สำรวมด้วยดี ไม่เดินระโหย่ง เมื่อจะเจ้านิเวศน์ พึงำหนดว่า เราจัเข้าทางนี้ จัออทางนี้ ไม่พึงรีบร้อนเข้าไป ไม่พึงรีบร้อนออมา พึงยืนไม่ไลเิดไป ไม่ใล้เินไป ไม่นานเินไป ไม่ลับออเร็วเินไป เมื่อยืนอยู่ พึงำหนดว่า เขาประสงค์จะถวายภิษาหรือไม่ ฯลฯ เมื่อเขาถวายภิษา พึงแหวสังฆาฏิด้วยมือซ้าย น้อมบาตรเข้าไปด้วยมือขวา ใช้มือทั้ง ๒ ประคองบาตรรับภิษา ไม่พึงมองดูหน้าสตรีผู้ถวาย พึงำหนดว่า เขาประสงค์จะถวายแงหรือไม่ ฯลฯ เมื่อเขาถวายภิษาแล้ว พึงคลุมบาตรด้วยสังฆาฏิแล้วลับโดยเรียบร้อย ไม่รีบร้อน เดินไปในละแวบ้าน พึงปปิดายด้วยดี สำรวมด้วยดี ไม่เดินระโหย่ง ๓) ออจาบ้านแล้ว (หลังจาฉันและล้างบาตรแล้ว) เอาบาตรใส่ถุง คล้องบ่า พับจีวร วางบนศีรษะ สวมรองเท้าเดินไป ข) ภิษุผู้อยู่ป่า พึงจัดเตรียมน้ำดื่มไว้ พึงจัดเตรียมน้ำใช้ไว้ พึงติดไฟเตรียมไว้ พึงจัดเตรียมไม้สีไฟไว้ พึงจัดเตรียมไม้เท้าไว้ ค) พึงเรียนทางนัษัตรไว้ (ดูดาวเป็น) ทั้งหมดหรือบางส่วน พึงเป็นผู้ฉลาดในทิศ
  28. อุปาทายรูป : รูปอาศัย, รูปที่เิดสืบเนื่องจามหาภูตรูป, อาารของมหาภูตรูป ตามหลัฝ่ายอภิธรรมว่า มี ๒๔ คือ ) ประสาท หรือ ปสาทรูป ๕ ได้แ่ จัขุ ตา, โสต หู, ฆาน จมู, ชิวหา ลิ้น, าย, มโน ใจ, ข) โคจรรูป หรือ วิสัยรูป (รูปที่เป็นอารมณ์) ๕ ได้แ่ รูป เสียง ลิ่น รส โผฏฐัพพะ (โผฏฐัพพะ ไม่นับเข้าจำนวน เพราะตรงับปฐวี เตโช วาโย ซึ่งเป็นมหาภูตรูป) ค) ภาวรูป ๒ ได้แ่ อิตถีภาวะ ความเป็นหญิง และปุริสภาวะ ความเป็นชาย ง) หทัยรูป ๑ คือ หทัยวัตถุ หัวใจ จ) ชีวิตรูป ๑ คือ ชีวิตินทรีย์ ภาวะที่รัษารูปให้เป็นอยู่ ฉ) อาหารรูป ๑ คือวฬิงาราหาร อาหารที่ินเิดเป็นโอชา ช) ปริจเฉทรูป ๑ คือ อาาศธาตุ ช่องว่าง ญ) วิญญัติรูป ๒ คือ ายวิญญัติ ไหวายให้รู้ความ วจีวิญญัติ ไหววาจาให้รู้ความ คือพูดได้ ฎ) วิารรูป ๕ อาารดัดแปลงต่างๆ ได้แ่ ลหุตา ความเบา, มุทุตา ความอ่อน, ัมมัญญตา ความควรแ่งาน, (อี ๒ คือ วิญญัติรูป ๒ นั่นเอง ไม่นับอี) ฏ) ลัขณรูป ๔ ได้แ่ อุปจยะ ความเติบขึ้นได้, สันตติ สืบต่อได้, ชรตา ทรุดโทรมได้, อนิจจตา ความสลายไม่ยั่งยืน (นับโคจรรูปเพียง ๔ วิารรูป เพียง ๓ จึงได้ ๒๔); ดู มหาภูต ด้วย
  29. ปรมัตถสัจจะ : จริงโดยปรมัตถ์ คือ ความจริงโดยความหมายสูงสุด เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตรงข้ามับสมมติสัจจะ จริงโดยสมมติ เช่น สัตว์ บุคคล ฉัน เธอ ม้า รถ นาย .นาย ข.เป็นต้น
  30. พิปลาส : ิริยาที่ถือโดยอาารวิปริตผิดจาความเป็นจริง, ความเห็นหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนจาสภาพที่เป็นจริง มีดังนี้; .วิปลาสด้วยอำนาจจิตต์และเจตสิ ๓ ประาร คือ ๑.วิปลาสด้วยอำนาจสำคัญผิด เรียว่า สัญญาวิปลาส ๒.วิปลาสด้วยอำนาจคิดผิด เรียว่า จิตตวิปลาส ๓.วิปลาสด้วยอำนาจเห็นผิด เรียว่า ทิฏฐิวิปลาส ข.วิปลาสด้วยสามารถวัตถุเป็นที่ตั้ง ๔ ประาร คือ ๑.วิปลาสในของที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง ๒.วิปลาสในของที่เป็นทุข์ว่าเป็นสุข ๓.วิปลาสในของที่ไม่ใช่ตน ว่าเป็นตน ๔.วิปลาสในของที่ไม่งาม ว่างาม
  31. วปลาส : ิริยาที่ถือโดยอาารวิปริตผิดจาความเป็นจริง, ความเห็นหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนจาสภาพที่เป็นจริง มีดังนี้; .วิปลาสด้วยอำนาจจิตต์และเจตสิ ๓ ประาร คือ ๑.วิปลาสด้วยอำนาจสำคัญผิด เรียว่า “สัญญาวิปลาส” ๒.วิปลาสด้วยอำนาจคิดผิด เรียว่า “จิตตวิปลาส” ๓.วิปลาสด้วยอำนาจเห็นผิด เรียว่า “ทิฏฐิวิปลาส” ข.วิปลาสด้วยสามารถวัตถุเป็นที่ตั้ง ๔ ประาร คือ ๑.วิปลาสในของที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง ๒.วิปลาสในของที่เป็นทุข์ว่าเป็นสุข ๓.วิปลาสในของที่ไม่ใช่ตน ว่าเป็นตน ๔.วิปลาสในของที่ไม่งาม ว่างาม
  32. สมมติสัจจะ : จริงโดยสมมติ คือ โดยความตลงหมายรู้ร่วมันของมนุษย์ เช่น นาย .นาย ข.ช้าง ม้า มด โต๊ะ หนังสือ พ่อ แม่ ลู เพื่อน เป็นต้น ซึ่งเมื่อล่าวตามสภาวะ หรือโดยปรมัตถ์แล้ว ็เป็นเพียงสังขาร หรือนามรูป หรือขันธ์ ๕ เท่านั้น; คู่ับ ปรมัตถสัจจะ
  33. สังโยชน์ : ิเลสที่ผูมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้ับทุข์ มี ๑๐ อย่าง คือ .โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แ่ ๑.สัายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน ๒.วิจิิจฉา ความลังเลสงสัย ๓.สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต ๔.ามราคะ ความติดใจในามคุณ ๕.ปฏิฆะ ความระทบระทั่งในใจ ข.อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แ่ ๖.รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต ๗.อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม ๘.มานะ ความถือว่าตนเป็นนั่นเป็นนี่ ๙.อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ๑๐.อวิชชา ความไม่รู้จริง; พระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้, พระสิทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ให้เบาบางลงด้วย, พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด, พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ; ในพระอภิธรรมท่านแสดงสังโยชน์อีหมวดหนึ่ง คือ ๑.ามราคะ ๒.ปฏิฆะ ๓.มานะ ๔.ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ๕.วิจิิจฉา ๖.สีลัพพตปรามาส ๗.ภวราคะ (ความติดใจในภพ) ๘.อิสสา (ความริษยา) ๙.มัจฉริยะ (ความตระหนี่) ๑๐.อวิชชา
  34. โสภณเจตสิ : เจตสิฝ่ายดีงาม มี ๒๕ แบ่งเป็น .โสภณสาธารณเจตสิ (เจตสิที่เิดทั่วไปับจิตดีงามทุดวง) ๑๙ คือ สัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ ตัตรมัชฌัตตตา (ความเป็นลางในอารมณ์นั้น ๆ = อุเบขา) ายปัสสัทธิ (ความคลายสงบแห่งองเจตสิ) จิตตปัสสัทธิ (แห่งจิต) ายลหุตา (ความเบาแห่งองเจตสิ) จิตตลหุตา (แห่งจิต) ายมุทุตา (ความนุ่มนวลแห่งองเจตสิ) จิตตมุทุตา (แห่งจิต) ายัมมัญญตา (ความควรแ่งานแห่งองเจตสิ) จิตตัมมัญญตา (แห่งจิต) ายปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งองเจตสิ) จิตตปาคุญญตา (แห่งจิต) ายชุตา (ความซื่อตรงแห่งองเจตสิ) จิตตุชุตา (แห่งจิต) ข.วีรตีเจตสิ (เจตสิที่เป็นตัวงดเว้น) ๓ คือ สัมมาวาจา สัมมาัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ค.อัปปมัญญาเจตสิ (เจตสิคืออัปปมัญญา) ๒ คือ รุณา มุทิตา (อี ๒ ซ้ำับอโทสะและตัตรมัชฌัตตตา) ง.ปัญญินทรียเจตสิ ๑ คือ ปัญญินทรีย์ หรือ อโมหะ
  35. หลัำหนดธรรมวินัย : หลัตัดสินธรรมวินัย หรือลัษณะตัดสินธรรม วินัย ๘ อย่าง คือ .ธรรมเหล่าใด เป็นไป ๑.เพื่อความย้อมใจติด ๒.เพื่อความประอบทุข์ ๓.เพื่อความพอพูนิเลส ๔.เพื่อความมัมาอยาใหญ่ ๕.เพื่อความไม่สันโดษ ๖.เพื่อความคลุคลีในหมู่ ๗.เพื่อความเียจคร้าน ๘.เพื่อความเลี้ยงยา, ธรรมเหล่านี้ พึงรู้ว่าไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่สัตถุศาสน์, ข.ธรรมเหล่าใดเป็นไป ๑.เพื่อความคลายหายติด ๒.เพื่อความไม่ประอบทุข์ ๓.เพื่อความไม่พอพูนิเลส ๔.เพื่อความมัน้อย ๕.เพื่อความสันโดษ ๖.เพื่อความสงัด ๗.เพื่อารประอบความเพียร ๘.เพื่อความเลี้ยงง่าย, ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่า เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุศาสน์
  36. ัปปิยภูมิ : ที่สำหรับเ็บเสบียงอาหารของวัด, ครัววัด มี ๔ อย่าง คือ อุสสาวนันติัปปิยภูมิที่ทำด้วยารประาศให้รู้แต่แรสร้างว่าจะทำเป็นัปปิยภูมิ คือพอเริ่มยเสาหรือตั้งฝา็ประาศให้ได้ยินว่า ปฺปิยภูมึ โรม แปลว่า เราทั้งหลายทำัปปิยุฎี ๑ โคนิสาทิัปปิยภูมิขนาดเล็ เคลื่อนที่ได้ ดุจเป็นที่โคจ่อม ๑ คหปติา เรือนของคฤหบดีเขาสร้างถวายเป็นัปปิยภูมิ ๑ สัมมติัปปิยภูมิที่สงฆ์สมมติ ได้แุฎีที่สงฆ์เลือจะใช้เป็นัปปิยุฎี แล้วสวดประาศด้วยญัตติทุติยรรม ๑
  37. สิยเทวราช : พระอินทร์, จอมเทพ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียท้าวโสีย์บ้าง ท้าวสัเทวราชบ้าง
  38. ขัณฑสีมา : สีมาเล็ผูเฉพาะโรงอุโบสถที่อยู่ในมหาสีมา มีสีมันตริคั่น
  39. คันธุฎี : ุฎีอบลิ่นหอม, ชื่อเรียพระุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้า เช่น พระคันธุฎีที่อนาถบิณฑิเศรษฐีสร้างถวายที่พระเชตวัน ในนครสาวัตถี เป็นต้น พระุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ็เรียว่าคันธุฎีเช่นเดียวัน (เช่น ขุ.อป.๓๒/๑๘/๘๕; ๑๗๒/๒๗๒; ๓๓/๑๓๑/๒๒๐) อย่างไร็ตาม คำเรียที่ประทับของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันว่าคันธุฎีนั้น มีใช้แต่ในคัมภีร์ชั้นอรรถถาลงมา (ไม่มีในพระไตรปิฎ)
  40. คูถภัขา : มีคูถเป็นอาหาร ได้แ่สัตว์จำพว่ สุร สุนัข เป็นต้น
  41. จุลวรรค : ชื่อคัมภีร์อันเป็นหมวดหนึ่งแห่งพระวินัยปิฎ ซึ่งมีทั้งหมด ๕ หมวด คือ อาทิัมม์ ปาจิตตีย์ มหาวรรค จุลวรรค บริวาร ; คัมภีร์จุลวรรค มี ๑๒ ขันธะ คือ ๑.ัมมขันธะ ว่าด้วยเรื่องนิคคหรรม ๒.ปาริวาสิขันธะ ว่าด้วยวัตรของภิษุผู้อยู่ปริวาส ผู้ประพฤติมานัต และผู้เตรียมจะอัพภาน ๓.สมุจจยขันธะ ว่าด้วยระเบียบปฏิบัติต่างๆ ในารประพฤติวุฏฐานวิธี ๔.สมถขันธะ ว่าด้วยารระงับอธิรณ์ ๕.ขุททวัตถุขันธะ ว่าด้วยข้อบัญญัติปลีย่อยจำนวนมา เช่น ารปลงผม ตัดเล็บ ไม้จิ้มฟัน ของใช้ต่างๆ เป็นต้น ๖.เสนาสนขันธะ ว่าด้วยสังฆเภทและสังฆสามัคคี ๘.วัตตขันธะ ว่าด้วยวัตรต่างๆ เช่น อาคันตุวัตร เป็นตน ๙.ปาติโมขัฏฐปนขันธะ ว่าด้วยระเบียบในารงดสวดปาฏิโมข์ในเมื่อภิษุมีอาบัติติดตัวมาร่วมฟังอยู่ ๑๐.ภิขุนีขันธะ ว่าด้วยเรื่องภิษุณีเริ่มแต่ประวัติารอนุญาตให้มีารบวชครั้งแร ๑๑.ปัญจสติขันธะ ว่าด้วยเรื่องสังคายนาครั้งที่ ๑ ๑๒.สัตตสติขันธะ ว่าด้วยสังคายนาครั้งที่ ๒ (พระไตรปิฎเล่ม ๖-๗); ต่อจา มหาวรรค
  42. เจ้าอธิารแห่งคลัง : ภิษุผู้มีหน้าที่เี่ยวับคลังเ็บพัสดุของสงฆ์ มี ๒ อย่างคือ ผู้รัษาคลังที่เ็บพัสดุของสงฆ์ (ภัณฑาคาริ) และผู้จ่ายของเล็น้อยให้แ่ภิษุทั้งหลาย (อัปปมัตตวิสัชชะ)
  43. ทวิบท : สัตว์ ๒ เท้า มี า ไ่ น เป็นต้น
  44. ปศุสัตว์ : สัตว์เลี้ยง เช่นเป็ด ไ่ แพะ แะ สุร เป็นต้น
  45. ปสุสัตว์ : สัตว์เลี้ยง เช่นเป็ด ไ่ แพะ แะ สุร เป็นต้น
  46. ปาจิตตีย์ : แปลตามตัวอัษรว่า ารละเมิดอันยังุศลให้ต, ชื่ออาบัติเบาเรียลหุาบัติ พ้นด้วยารแสดง; เป็นชื่อสิขาบท ได้แ่ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ และสุทธิปาจิตตีย์ ซึ่งเรียันสั้นๆ ว่า ปาจิตตีย์ อี ๙๒ ภิษุล่วงละเมิดสิขาบท ๑๒๒ ข้อเหล่านี้ย่อมต้องอาบัติปาจิตตีย์ เช่น ภิษุพูดปด ฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน ว่ายน้ำเล่น เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ดู อาบัติ
  47. ปานะ : เครื่องดื่ม, น้ำสำหรับดื่ม ที่คั้นจาลูไม้ (น้ำคั้นผลไม้) จัดเป็นยามาลิ ท่านแสดงไว้ ๘ ชนิด คือ ๑.อมฺพปานํ น้ำมะม่วง ๒.ชมฺพุปานํ น้ำชมพู่หรือน้ำหว้า ๓.โจจปานํ น้ำล้วยมีเม็ด ๔.โมจปานํ น้ำล้วยไม่มีเม็ด ๕.มธุปานํ น้ำมะม่วง (ต้องเจือน้ำจึงจะควร) ๖.มุทฺทิปานํ น้ำลูจันทร์หรือองุ่น ๗.สาลุปานํ น้ำเหง้าอุบล ๘.ผารุสปานํ น้ำมะปรางหรือลิ้นจี่ นิยมเรียว่า อัฏฐบาล หรือ น้ำอัฏฐบาน (ปานะ ๘ อย่าง)
  48. ผ้าจำนำพรรษา : ผ้าทีทายถวายแ่พระสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาครบแล้วในวัดนั้น ภายในเขตจีวราล; เรียเป็นคำศัพท์ ผ้าวัสสาวาสิา วัสสาวาสิสาฏ หรือ วัสสาวาสิสาฏิา; ดู อัจเจจีวร
  49. ผ้าอาบน้ำฝน : ผ้าสำหรับอธิษฐานไว้ใช้นุ่งอาบนำฝนตลอด ๔ เดือนแห่งฤดูฝน ซึ่งพระภิษุจะแสวงหาได้ในระยะเวลา ๑ เดือน ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๗ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ และให้ทำนุ่งได้ในเวลาึ่งเดือน ตั้งแต่ขึ้น ๑ ถึง ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปัจจุบันมีประเพณีทายทายิาทำบุญถวายผ้าอาบน้ำฝนตามวัดต่างๆ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘; เรียเป็นคำศัพท์ว่า วัสสิสาฏิา หรือ วัสสิสาฏ; คำถวายผ้าอาบน้ำฝนเหมือนคำถวายผ้าป่า เปลี่ยนแต่ ปํสุูลจีวรานิ เป็น วสฺสิสาฏิานิ และผ้าบังสุุลจีวร เป็นผ้าอาบน้ำฝน
  50. แผ่เมตตา : ตั้งจิตปรารถนาดีขอให้ผู้อื่นมีความสุข; คำแผ่เมตตาที่ใช้เป็นหลัว่า สพฺเพ สตฺตา อเวรา อพฺยาปชฺฌา อนีฆา สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ แปลว่า ขอสัตว์ทั้งหลาย, (ที่เป็นเพื่อนทุข์ เิด แ่ เจ็บ ตาย ด้วยัน) หมดทั้งสิ้น, (จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด) อย่าได้มีเวรแันและันเลย, (จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด) อย่าได้เบียดเบียนซึ่งันและันเลย, (จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด) อย่าได้มีทุข์ายทุข์ใจเลย, จงมีความสุขายสุขใจ, รัษาตน (ให้พ้นจาทุข์ภัยทั้งสิ้น) เถิด.ข้อความในวงเล็บ เป็นส่วนที่เพิ่มเข้ามาในคำแปลเป็นภาษาไทย
  51. [1-50] | 51-63

(0.0094 sec)