Dictionary : English, Thai, Pali. Link : Lexitron, RoyDict, BudDict, ETipitaka, PpmDict, Longdo.
Search: .

Budhism Thai-Thai Dict : , 35 found, display 1-35
  1. วัตติงสาการ : อาการ ๓๒, ส่วนประกอบี่มีลักษณะต่างๆ กัน ๓๒ อย่าง ในร่างกาย คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า (อุจจาระ) มันสมอง ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร (ปัสสาวะ); ในขุกปาฐะ (ฉบับสยามรัฐ) เรียงลำดับมันสมองไว้เป็นข้อสุด้าย; วัตดึงสาการ หรือ วดึงสาการ ก็เขียน
  2. วัตติงสกรรมกรณ์ : ดู วดึงสกรรมกรณ์
  3. สกะ : หมวด ๑๐
  4. หนิคม : คือกรุงเหะ นครหลวงของแคว้นโกลิยะนั่นเอง แต่ในพระสูตรบางแห่งเรียก นิคม
  5. หะ : ชื่อนครหลวงของแคว้นโกลิยะ ี่กษัตริย์โกลิยวงศ์ปกครอง พระสิริมหามายาพุธมารดา เป็นชาวเหะ
  6. สุภั : ปัจฉิมสิกขิสาวก (สาวกผู้ันเห็นองค์สุด้าย) ของพระพุธเจ้า เรียกสั้นๆ ว่า ปัจฉิมสาวก เดิมเป็นพราหมณ์ตระกูลใหญ่ ต่อมาออกบวชเป็นปริพาชก อยู่ในเมืองกุสินารา ในวันี่พระพุธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน สุภัปริพาชกได้ยินข่าวแล้วคิดว่าตนมีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง อยากจะขอให้พระพุธเจ้ารงแสดงธรรมเพื่อแก้ข้อสงสัยนั้นเสียก่อนี่จะปรินิพพาน จึงเดินางไปยังสาลวัน ตรงไปหาพระอานน์ แจ้งความประสงค์ขอเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา พระอานน์ได้ห้ามไว้ เพราะเกรงว่าพระองค์เหน็ดเหนื่อยอยู่แล้ว จะเป็นการรบกวนให้รงลำบาก สุภัปริพาชกก็คะยั้นคะยอจะขอเข้าเฝ้าให้ได้ พระอานน์ก็ยืนกรานห้ามอยู่ถึง ๓ วาระ จนพระผู้มีพระภาครงได้ยินเสียงโต้ตอบกันนั้น จึงตรัสสั่งพระอานน์ว่าสุภัะมุ่งหาความรู้ มิใช่ประสงค์จะเบียดเบียนพระองค์ ขอให้ปล่อยให้เขาเข้าเฝ้าเถิด สุภัปริพาชกเข้าเฝ้าแล้ว ูลถามว่า สมณพราหมณ์เจ้าลัธิี่มีชื่อเสียงั้งหลาย คือ เหล่าครูั้ง ๖ นั้น ล้วนได้ตรัสรู้จริงั้งหมดตามี่ตนปฏิญญา หรือได้ตรัสรู้เพียงบาง่านหรือไม่มีใครตรัสรู้จริงเลย พระพุธเจ้ารงห้ามเสียและตรัสว่าจะรงแสดงธรรม คือ หลักการหรือหลักความจริงให้ฟัง แล้วตรัสว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ หาไม่ได้ในธรรมวินัยใด สมณะ (คืออริยบุคคลั้ง ๔) ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น อริยมรรคมีองค์ ๘ หาได้ในธรรมวินัยใด สมณะก็หาได้ในธรรมวินัยนั้น อริยมรรคมีองค์ ๘ หาได้ในธรรมวินัยนี้ สมณะั้ง ๔ จึงมีในธรรมวินัยนี้ ลัธิอื่นๆ ว่างจากสมณะ และตรัสสรุปว่า ถ้าภิกษุั้งหลายเป็นอยู่โดยชอบ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ั้งหลาย เมื่อจบพระธรรมเศนา สุภัปริพาชกเลื่อมใสูลขอบรรพชาอุปสมบ พระพุธเจ้าตรัสสั่งพระอานน์ให้บวชสุภัะในสำนักของพระองค์ โดยประานพุธานุญาตพิเศษให้ยกเว้นไม่ต้องอยู่ติตถิยปริวาส ่านสุภัะบวชแล้วไม่นาน (อรรถกถาว่าในวันนั้นเอง) ก็ได้บรรลุอรหัตตผล นับเป็นพุธปัจฉิมสักขิสาวก
  7. สุภัะ วุฒบรรพชิต : “พระสุภัะผู้บวชเมื่อแก่” ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งการปรารภี่จะำสังคายนาครั้งี่ ๑ ก่อนบวช เป็นช่างตัดผมในเมืองอาตุมา มีบุตรชาย ๒ คน เมื่อบวชแล้วคราวหนึ่งได้ข่าวว่าพระพุธเจ้าพร้อมด้วยสงฆ์หมู่ใหญ่จะเสด็จมายังเมืองอาตุมา จึงให้บุตรั้ง ๒ เอาเครื่องมือตัดผมออกไปเี่ยวขอตัดผมตามบ้านเรือนุกแห่ง แลกเอาเครื่องปรุงยาคูมาได้มากมาย แล้วบัญชาการให้ผู้คนจัดเตรียมข้าวยาคูไว้เป็นอันมาก เมื่อพระพุธเจ้าเสด็จมาถึง ก็นำเอาข้าวยาคูนั้นเข้าไปถวาย พระพุธเจ้าตรัสถาม รงราบความว่าพระสุภัะได้ข้าวนั้นมาอย่างไรแล้ว ไม่รงรับและรงติเตียน แล้วรงบัญญัติสิกขาบ ๒ ข้อ คือ บรรพชิตไม่พึงชักชวนคนำในสิ่งี่เป็นอกัปปิยะ และภิกษุผู้เคยเป็นช่างกัลบกไม่พึงเก็บรักษาเครื่องตัดโกนผมไว้ประจำตัว จากการี่ได้ถูกติเตียนและเสียของเสียหน้าเสียใจ ในเหตุการณ์ครั้งนั้น พระสุภัะก็ได้ผูกอาฆาตไว้ ต่อมา เมื่อพระพุธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วได้ ๗ วัน พระสุภัะร่วมอยู่ในคณะของพระมหากัสสปเถระ ซึ่งกำลังเดินางจากเมืองปาวาสู่เมืองกุสินารา ระหว่างางนั้น คณะได้ราบข่าวพุธปรินิพพานจากอาชีวกผู้หนึ่ง ภิกษุั้งหลายี่ยังไม่สิ้นราคะ (คือพระปุถชน โสดาบัน และสกาคามี) พากันร้องไห้คร่ำครวญเป็นอันมาก ในขณะนั้นเอง พระสุภัะวุฒบรรพชิต ก็ร้องห้ามขึ้นว่า “อย่าเลย ่านผู้มีอายุ พวก่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไห้ไปเลย พวกเราพ้นดีแล้ว พระมหาสมณะนั้นคอยเบียดเบียนพวกเราว่าสิ่งนี้ควรแก่เธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอ บัดนี้พวกเราปรารถนาสิ่งใด ก็จักกระำสิ่งนั้น” พระมหากัสสปเถระได้ฟังแล้วเกิดธรรมสังเวช ดำริว่า พระพุธเจ้าปรินิพพานเพียง ๗ วัน ก็ยังเกิดเสี้ยนหนามขึ้นแล้วในพระศาสนา หากต่อไปคนชั่วได้พวกพ้องมีกำลังเติบกล้าขึ้น ก็จะำพระศาสนาให้เสื่อมถอย ดังนั้น หลังจากเสร็จงานถวายพระเพลิงพระพุธสรีระแล้ว ่านจึงได้ยกถ้อยคำของสุภัะวุฒบรรพชิต นี้ขึ้นเป็นข้อปรารภ ชักชวนพระเถระั้งหลายร่วมกันำสังคายนาครั้งแรก
  8. สงฆ์สวรรค : สงฆ์พวก ๑๐ คือ มีภิกษุ ๑๐ รูปขึ้นไป จึงจะครบองค์กำหนด ดู วรรค
  9. สมณุ : สามเณร
  10. สมาปนา : การให้สมาาน หรือชวนให้ปฏิบัติคือ อธิบาย ให้เห็นว่าเป็นความจริง ดีจริง จนใจยอมรบี่จะนำไปปฏิบัติ; เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของการสอนี่ดี (ข้อก่อนคือสันัสสนา, ข้อต่อไปคือ สมุตเตชนา)
  11. สารันเจดีย์ : เจดียสถานแห่งหนึ่งี่เมืองเวสาลี นครหลวงของแคว้นวัชชี ณ ี่นี้พระพุธเจ้าเคยำนิมิตตโอภาสแก่พระอานน์ บาลีเป็น สารันเจดีย์
  12. ันตชะ : อักษรเกิดแต่ฟัน คือ ต ถ ธ น และ ส
  13. กัญจนา : เจ้าหญิงแห่งเหนครเป็นมเหสีของพระเจ้าสีหนุ ผู้ครองนครกบิลพัสดุ์ เป็นพระชนนีของพระเจ้าสุโธนะ เป็นพระอัยยิกาของเจ้าชายสิธัตถะ
  14. โกลิยชนบ : แคว้นโกลิยะ หรือดินแดนของกษัตริย์โกลิยวงศ์ เป็นแคว้นหนึ่งในชมพูวีปครั้งพุธกาลมีนครหลวงชื่อ เหะ และรามคาม บัดนี้อยู่ในเขตประเศเนปาล
  15. โกลิยวงศ์ : ชื่อวงศ์กษัตริย์ข้างฝ่ายพระพุธมารดา ี่ครองกรุงเหะ; พระสิริมหามายา พุธมารดา และ พระนางพิมพา ชายาของเจ้าชายสิธัตถะ เป็นเจ้าหญิงฝ่ายโกลิยวงศ์
  16. วดึงสาการ : ดู วัตติงสาการ
  17. ธนิต : พยัญชนะออกเสียแข็ง ได้แก่ พยัญชนะี่ ๒ ี่ ๔ ในวรรคั้ง ๕ คือ ข ฆ, ฉ ฌ, ฐ ฒ, ถ ธ, ผ ภ
  18. นาลกะ : 1.หลานชายของอสิตดาบส ออกบวชตามคำแนะนำของลุง และไปบำเพ็ญสมณธรรมรอการตรัสรู้ของพระพุธเจ้าอยู่ในป่าหิมพานต์ ครั้นพระพุธเจ้าตรัสรู้แล้ว ได้มาูลถามเรื่องโมไนยปฏิปา และกลับไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่าหิมพานต์ ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ดำรงอายุอยู่อีก ๗ เดือน ก็ปรินิพพานในป่าหิมพานต์นั้นเอง; ่านจัดเป็นมหาสาวกองค์หนึ่งในอสีติมหาสาวกด้วย 2.ชื่อหมู่บ้านอันเป็นี่เกิดของพระสารีบุตรไม่ไกลจากเมืองราชคฤห์ บางีเรียกนาลันคาม
  19. นาลัน : ชื่อเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งในแคว้นมคธ อยู่ห่างจากพระนครราชคฤห์ประมาณ ๑ โยชน์ ณ เมืองนี้ มีสวนมะม่วง ชื่อ ปาวาริกัมพวัน (สวนมะม่วงของปาวาริกเศรษฐี) ซึ่งพระพุธเจ้าเสด็จมาประับแรมหลายครั้ง คัมภีร์ฝ่ายมหายานกล่าวว่า พระสารีบุตร อัครสาวก เกิดี่เมืองนาลันา แต่คัมภีร์ฝ่ายบาลีเรียกถิ่นเกิดของพระสารีบุตรว่า หมู่บ้านนาลกะหรือนาลันคาม
  20. ปรนิมมิตวสวัตดี : สวรรค์ชั้น ๖ มี้าวปรนิมมิตวสวัตดีปกครอง เวดาชั้นนี้ปรารถนาสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ต้องนิรมิตเอง มีเวดาอื่นนิรมิตให้อีกต่อหนึ่ง
  21. ปัจฉิมสักขิสาวก : สาวกผู้เป็นพยานการตรัสรู้องค์สุด้าย, สาวกี่ันเห็นองค์สุด้าย ได้แก่ พระสุภั
  22. พิมพา : บางแห่งเรียกยโสธรา เป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าสุปปพุธะ กรุงเหะ เป็นพระชายาของพระสิธัตถะ เป็นพระมารดาของพระราหุล ภายหลังออกบวชมีนามว่า พระภักัจจานา หรือ ภัา กัจจานา
  23. มายา : เจ้าหญิงแห่งเหนคร เป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าอัญชนะ เป็นพระมเหสีของพระเจ้าสุโธนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นพระราชชนนี ของเจ้าชายสิธัตถะ เป็นพระพุธมารดา เจ้าชายสิธัตถะประสูติได้ ๗ วัน พระนางก็สวรรคต, คำว่า “มายา” ในี่นี้ มิได้หมายความว่า มารยา ี่แปลว่า เล่ห์เหลี่ยม หรือล่อลวง แต่หมายถึงความงามี่ำให้ผู้ประสบงวยงงหลงใหล, นิยมเรียกว่า พระนางสิริมหามายา
  24. มุจจลิน : 1.ต้นจิก, ไม้จิก ตั้งอยู่ิศตะวันออกเฉียงใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ พระพุธเจ้าประับนั่งเสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้ต้นไม่นี้ ๗ วัน (สัปดาห์ ี่ ๓ ตามพระวินัย, สัปดาห์ี่ ๖ ตามคัมภีร์ชาดก) 2.ชื่อพระยานาคี่เข้ามาเฝ้าพระพุธเจ้า ขณะี่ประับเสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้ต้นจิก (มุจจลิน์) เสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้ต้นจิก (มุจจลิน์) ฝนตกพรำเจือด้วยลมหนาวตลอด ๗ วัน พระยามุจจลินนาคราชจึงแผ่พังพานปกพระพุธเจ้าเพื่อป้องกันฝนและลมมิให้ถูกต้องพระกาย นี่เป็นมูลเหตุของการสร้างพระพุธรูปนาคปรก
  25. ยโสธรา : 1.เจ้าหญิงศากยวงศ์ เป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าชยเสนะ เป็นพระมเหสีของพระเจ้าอัญชนะผู้ครองกรุงเหะ เป็นพระมารดาของพระนางสิริมหามายา และพระนางปชาบดีโคตมี 2.อีกชื่อหนึ่งว่าพิมพา เป็นเจ้าหญิงแห่งเหนคร เป็นพระราชบุตรีของพระเจ้าสุปปพุธะ เป็นพระชายาของพระสิธัตถะ เป็นมารดาของพระราหุล ต่อมาออกบวช เรียกชื่อว่า พระภัา กัจจานา
  26. ลุมพินีวัน : ชื่อสวนเป็นี่ประสูติของพระพุธเจ้า เป็นสังเวชนียสถานหนึ่งใน ๔ แห่ง ตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเหะ บัดนี้เรียก รุมมินเด อยู่ี่ปาเดเรีย ในเขตประเศเนปาล ห่างจากเขตแดนประเศอินเดียไปางเหนือ ประมาณ ๖ กิโลเมตรครึ่ง พระสิธัตถะประสูติี่สวนนี้ เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุธศก ๘๐ ปี (มีปราชญ์คำนวณว่าตรงกับวันศุกร์ ปีจอ เวลาใกล้เี่ยง) ดู สังเวชนียสถาน
  27. วรรค : หมวด, หมู่, ตอน, พวก ; กำหนด จำนวนภิกษุี่ประกอบเข้าเป็นสงฆ์ หมวดหนึ่งๆ ซึ่งเมื่อครบจำนวนแล้วจึงจะำสังฆกรรมอย่างนั้นๆ ได้ มี ๔ พวก คือ ๑.สงฆ์จตุรวรรค (สงฆ์พวก ๔ คือ ต้องมีภิกษุ ๔ รูปขึ้นไป ำกรรมไดุ้กอย่างเว้นปวารณาให้ผ้ากฐิน อุปสมบ และอัพภาน) ๒.สงฆ์ปัญจวรรค (สงฆ์พวก ๕ คือ ต้องมีภิกษุ ๕ รูปขึ้นไป ำปวารณา ให้ผ้ากฐิน และอุปสมบในปัจจันตชนบ) ๓.สงฆ์สวรรค (สงฆ์พวก ๑๐ คือต้องมีภิกษุ ๑๐ รูปขึ้นไป ให้อุปสมบในมัธยมชนบได้) ๔.สงฆ์วีสติวรรค (สงฆ์พวก ๒๐ คือต้องมีภิกษุ ๒๐ รูปขึ้นไป ำอัพภานได้)
  28. สมุตเตชนา : การำให้อาจหาญ คือ เร้าใจให้แกล้วกล้า ปลุกใจให้คึกคักเกิดความกระตือรือร้น มีกำลังใจแข็งขัน มั่นใจี่จะำให้สำเร็จ ไม่กลัวเหน็ดเหนื่อยหรือยากลำบาก; เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของการสอนี่ดี (ข้อก่อนคือสมาปนา, ข้อสุด้ายคือ สัมปหังสนา)
  29. สักขิสาวก : สาวกี่ันเห็นองค์พระพุธเจ้า, พระสุภัะผู้เคยเป็นปริพาชก เป็นสักขิสาวกองค์สุด้ายของพระพุธเจ้า
  30. สันัสสนา : การให้เห็นชัดแจ้ง หรือชี้ให้ชัด คือ ชี้แจงให้เข้าใจชัดเจน มองเห็นเรื่องราวและเหตุผลต่าง ๆ แจ่มแจ้งเหมือนจูงมือไปดูเห็นประจักษ์กับตา; เป็นลักษณะอย่างแรกของการสอนี่ดีตามแนวพุธจริยา (ข้อต่อไป คือสมาปนา)
  31. สารีบุตร : พระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุธเจ้า เกิดี่หมู่บ้านนาลกะ (บางแห่งเรียกนาลันะ) ไม่ไกลจากเมืองราชคฤห์ เป็นบุตรแห่งตระกูลหัวหน้าหมู่บ้านนั้น บิดาชื่อวังคันตพราหมณ์ มารดาชื่อ สารี จึงได้นามว่าสารีบุตร แต่เมื่อยังเยาว์เรียกว่า อุปติสสะ มีเพื่อนสนิชื่อ โกลิตะ ซึ่งต่อมาคือ พระมหาโมคคัลลานะ มีน้องชาย ๓ คนชื่อ จุนะ อุปเสนะ และเรวตะ น้องหญิง ๓ คน ชื่อจาลา อุปจาลา และสีสุปจาลา ซึ่งต่อมาได้บวชในพระธรรมวินัยั้งหมด เมื่ออุปติสสะและโกลิตะจะบวชนั้น ั้ง ๒ คนไปเี่ยวดูมหรสพี่ยอดเขาด้วยกัน คราวหนึ่งไปดูแล้วเกิดความสลดใจ คิดออกแสวงหาโมกขธรรม และต่อมาได้บวชอยู่ในสำนักของสัญชัยปริพาชกแต่ก็ไม่บรรลุจุดมุ่งหมาย จนวันหนึ่งอุปติสสปริพาชก พบพระอัสสชิเถระขณะ่านบิณฑบาต เกิดความเลื่อมใสติดตามไปสนนาขอถามหลักคำสอนได้ฟังความย่อเพียงคาถาเดียวก็ได้ดวงตาเห็นธรรม กลับไปบอกข่าวแก่โกลิตะแล้วพากันไปเฝ้าพระพุธเจ้า มีปริพาชกี่เป็นศิษย์ตามไปด้วยถึง ๒๕๐ คน ได้รับเอหิภิกขุอุปสมบั้งหมดี่เวฬุวัน เมื่อบวชแล้วได้ ๑๕ วัน พระสารีบุตรได้ฟังพระธรรมเศนาเวนาปริคคหสูตรี่พระพุธเจ้ารงแสดงแก่ีฆนขปริพาชก ณ ถ้ำสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ ก็ได้บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องเป็น เอตัคคะ ในางมีปัญญามาก และเป็น พระอัครสาวกฝ่ายขวา ่านได้เป็นกำลังสำคัญของพระพุธเจ้าในการประกาศพระศาสนา และได้รับยกย่องเป็น พระธรรมเสนาบดี คำสอนของ่านปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกเป็นอันมาก เช่น สังคีติสูตร และสุตตรสูตร ี่เป็นแบบอย่างแห่งการสังคายนา เป็นต้น ่านปรินิพพานก่อนพระพุธเจ้าไม่กี่เดือนเมื่อจวนจะปรินิพพาน ่านเดินางไปโปรดมารดาของ่านซึ่งยังเป็นมิจฉาิฐิให้มารดาได้เป็นพระโสดาบันแล้ว ปรินิพพานี่บ้านเกิด ด้วยปักขันิกาพาธ หลังจากปลงศพแล้วพระจุนะน้องชายของ่านนำอัฐิธาตุไปถวายพระบรมศาสดา พระองค์ตรัสว่าให้ก่อสถูปบรรจุอัฐิธาตุของ่านไว้ ณ พระเชตวัน เมืองสาวัตถี (อรรถกถาว่า่านปรินิพพานในวันเพ็ญเดือน ๑๒ จึงเ่ากับ ๖ เดือนก่อนพุธปรินิพพาน)
  32. สิถิล : พยัญชนะออกเสียงเพลา ได้แก่พยัญชนะี่ ๑ ี่ ๓ ในวรรคั้ง ๕ คือ ก ค, จ ช, ฏ ฑ, ต , ป พ
  33. อัญชนะ : กษัตริย์โกลิยวงศ์ผู้ครองเหนคร มีมเหสีพระนามว่า ยโสธราเป็นพระชนกของพระมหามายาเวี ผู้เป็นพระพุธมารดาและพระนางมหาปชาบดีโคตมี (ตำนานว่ามีโอรสด้วย ๒ องค์ คือ ัณฑปาณิ และสุปปพุธะ)
  34. อาการ ๓๒ : ดู วัตติงสาการ
  35. อุเ : การยกขึ้นแสดง, การยกขึ้นชี้แจง, ข้อี่ยกขึ้นแสดง, หัวข้อ, การเรียนการสอน, การสวดปาฏิโมกข์, ปาฏิโมกข์ี่ยกขึ้นสวด, หมวดหนึ่งๆ แห่งปาฏิโมกข์ี่จัดไว้สำหรับสวด, ในคำว่า สงฆ์มีอุเศเดียวกัน หมายความว่า ร่วมฟังสวดปาฏิโมกข์ด้วยกัน; อุเศในปาฏิโมกข์จัดโดยย่อมี ๕ คือ ๑) นิานุส ๒) ปาราชิกุส ๕) วิตถารุส, อุี่ ๕ นั้น รวมเอา นิสสัคคิยุส ปาจิตติยุส ปาฏิเสนียุส เสขิยุส และสมถุส เข้าไว้ด้วยกัน ถ้าแยกออกนับโดยพิสดารก็จะเป็น ๙ อุเส การรู้จักอุเศหรืออุสเหล่านี้เป็นประโยชน์สำหรับการตัดตอนสวดปาฏิโมกข์ย่อได้ในคราวจำเป็น ดู ปาฏิโมกข์ย่อ
  36. [1-35]

(0.0173 sec)