Dictionary : English, Thai, Pali. Link : Lexitron, RoyDict, BudDict, ETipitaka, PpmDict, Longdo.
Search: , then , .

Budhism Thai-Thai Dict : , 80 found, display 1-50
  1. ปลาส : กิริยาที่ถือโดยอาการิปริตผิดจากคามเป็นจริง, คามเห็นหรือคามเข้าใจคลาดเคลื่อนจากสภาพที่เป็นจริง มีดังนี้; ก.ิปลาสด้ยอำนาจจิตต์และเจตสิก ๓ ประการ คือ ๑.ิปลาสด้ยอำนาจสำคัญผิด เรียก่า “สัญญาิปลาส” ๒.ิปลาสด้ยอำนาจคิดผิด เรียก่า “จิตติปลาส” ๓.ิปลาสด้ยอำนาจเห็นผิด เรียก่า “ทิฏฐิิปลาส” ข.ิปลาสด้ยสามารถัตถุเป็นที่ตั้ง ๔ ประการ คือ ๑.ิปลาสในของที่ไม่เที่ยง ่าเที่ยง ๒.ิปลาสในของที่เป็นทุกข์่าเป็นสุข ๓.ิปลาสในของที่ไม่ใช่ตน ่าเป็นตน ๔.ิปลาสในของที่ไม่งาม ่างาม
  2. ัตถิตะ : บทที่แยก เช่น ตุณฺหี อสฺส ตรงข้ามกับสัมพันธ์ คือ บทที่เข้าสนธิ เช่น ตุณฺหสฺส, ตุณฺหิสฺส
  3. โคธารี : ชื่อแม่น้ำสายหนึ่ง ระห่างเมืองอัสสกะ กับ เมืองอาฬกะ พราหมณ์พารี ตั้งอาศรมสอนไตรเพทอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสายนี้ (มักเพี้ยนเป็นโคธาารี)
  4. จตุธาตุัตถาน : การกำหนดธาตุ ๔ คือ พิจารณาร่างกายนี้ แยกแยะออกไปมองเห็นแต่ส่นประกอบต่างๆ ที่จัดเข้าไปในธาตุ ๔ คือ ปฐี อาโป เตโช าโย ทำให้รู้ภาะคามเป็นจริงของร่างกาย ่าเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ประชุมกันเข้าเท่านั้น ไม่เป็นตัสัต์บุคคลที่แท้จริง
  5. นิรณธรรม : ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุคามดี, สิ่งที่ขัดขางจิตไม่ให้ก้าหน้าในคุณธรรม มี ๕ อย่าง คือ ๑.กามฉันท์ พอใจในกามคุณ ๒.พยาบาท คิดร้ายผู้อื่น ๓.ถีนมิทธะ คามหดหู่ซึมเซา ๔.อุทธัจจกุกกุจจะ คามฟุ้งซ่านและรำคาญ ๕.ิจิกิจฉา คามลังเลสงสัย
  6. นิรณูปกิเลส : โทษเครื่องเศร้าหมองคือนิรณ์
  7. ฬุคาม : ชื่อตำบลหนึ่งใกล้นครเสาลี แค้นัชชี เป็นที่พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาในพรรษาที่ ๔๕ นับแต่ได้ตรัสรู้ คือพรรษาสุดท้ายที่จะเสด็จปรินิพพาน; เพฬุคาม ก็เรียก
  8. ินัยมุข : มุขแห่งินัย, หลักใหญ่ๆ หรือหัข้อสำคัญๆ ทีเป็นเบื้องต้นแห่งพระินัย หรือเป็นปากทางนำเข้าสู่ินัยเป็นชื่อหนังสือที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาชิรญาณโรรสทรงรจนาขึ้น เพื่อชี้ประโยชน์แห่งพระินัยมุ่งช่ยให้พระภิกษุสามเณรตั้งอยู่ในปฏิบัติพองาม ผู้ไม่เคร่งจะได้รู้จักสำรมรักษามรรยาทสมเป็นสมณะฝ่ายผู้เคร่งครัดเกินไปจะได้หายงมงาย ไม่สำคัญตน่าดีก่าผู้อื่น ตั้งรังเกียจผู้อื่นเพราะเหตุผลเล็กน้อย เพียงสัก่าธรรมเนียมหรือแม้ชักนำผู้อื่นในปฏิบัติอันดี ต่างจะได้อานิสงส์คือไม่มีิปฏิสาร; ทรงมุ่งหมายเพื่อจะแต่งแก้หนังสือบุพพสิกขาัณณนาของพระอมราภิรักขิต (อมร เกิด) เจ้าอาาสัดบรมนิาส; จัดพิมพ์เป็น ๓ เล่ม ใช้เป็นแบบเรียนนักธรรมชั้นตรี ชั้นโท และชั้นเอก ตามลำดับ
  9. กัมมัฏฐาน ๔๐ : คือกสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมิหาร ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุัตถาน ๑ อรูป ๔
  10. คณะธรรมยุต : คณะสงฆ์ที่ตั้งขึ้นใหม่ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัทรงผนชเป็นภิกษุในรัชกาลที่ ๓; เรียก่า ธรรมยุตติกา หรือ ธรรมยุติกนิกาย ก็มี; สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาชิรญาณโรรส ทรงให้คามหมาย่า พระสงฆ์ออกจากมหานิกายนั้นเอง แต่ได้รับอุปสมบทในรามัญนิกายด้ย (การคณะสงฆ์ น.๑๐)
  11. คณะมหานิกาย : คณะสงฆ์ไทยเดิมทีสืบมาแต่สมัยสุโขทัย, เป็นชื่อที่ใช้เรียกในเมื่อได้เกิดมีคณะธรรมยุตขึ้นแล้; สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาชิรญาณโรรส ทรงให้คามหมาย่า พระสงฆ์อันมีเป็นพื้นเมือง (ของประเทศไทย-ผู้เขียน) ก่อนเกิด ธรรมยุติกนิกาย (การคณะสงฆ์ น.๙๐)
  12. เจตนา : ามตั้งใจ, คามมุ่งใจหมายจำทำ, เจตน์จำนง, คามจำนง, คามจงใจ, เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดง เป็นตันำในการคิดปรุงแต่ง หรือเป็นประธานในสังขารขันธ์ และเป็นตัการในการทำกรรม หรือกล่าได้่า เป็นตักรรมทีเดีย ดังพุทธพจน์่า “เจตนาหํ ภิกฺขเ กมฺมํ ทามิ” แปล่า เรากล่าเจตนา่าเป็นกรรม
  13. โกาท : คำสอนสำหรับผู้บชใหม่, คำสอนสำหรับภิกษุสามเณรผู้บชใหม่, ชื่อหนังสือแบบเรียนนักธรรมชั้นตรี เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาชิรญาณโรรส
  14. ารณา : 1. ยอมให้ขอ, เปิดโอกาสให้ข้อ 2.ยอมให้่ากล่าตักเตือน, เปิดโอกาสให้่ากล่าตักเตือน, ชื่อสังฆกรรมที่พระสงฆ์ทำในันสุดท้ายแห่งการจำพรรษา คือ ในันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เรียก่าันมหาปารณา โดยภิกษุทุกรูปจะกล่าารณา คือ เปิดโอกาสให้กันและกัน่ากล่าตักเตือน ได้ดังนี้ “สงฺฆมฺภนฺเต ปาเรมิ, ทิฏฺเฐน า สุเตน า ปริสงฺกาย า; ทนฺตุ มํ, อายสฺมนฺโต อนุกมฺปํ อุปาทาย; ปสฺสนฺโต ปฏิกฺกริสฺสามิ. ทุติยมฺปิ ภนฺเต สงฺฆํ ปาเรมิ,..... ตติยมฺปิ ภนฺเต สงฺฆํ ปาเรมิ,.......” แปล่า “ข้าพเจ้าขอปารณกะสงฆ์ ด้ยได้เห็นก็ตาม ด้ยได้ยินก็ตาม ด้ยน่าระแงสงสัยก็ตาม, ขอท่านผู้มีอายุทั้งหลายจง่ากล่ากะข้าพเจ้าด้ยอาศัยคามหังดี, เอ็นดู, เมื่อข้าพเจ้ามองเห็น จักแก้ไขแม้ครั้งที่สอง.........แม้ครั้งที่สาม.......” (ภิกษุผู้มีพรรษาสูงสุดในที่ประชุม่า อาุโส แทน ภนฺเต)
  15. ปุญญาภิสังขาร : อภิสังขารที่เป็นบุญ, สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี ได้แก่กุศลเจตนา (เฉพาะที่เป็นกามาจรและรูปจร) (ข้อ ๑ ในอภิสังขาร ๓)
  16. โปตลิ : นครหลงของแค้นอัสสกะ อยู่ลุ่มน้ำโคธารี ทิศเหนือแห่งแค้นอันตี
  17. พารี : พราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ตั้งอาศรมสอนไตรเพทแก่ศิษย์อยู่ฝั่งแม่น้ำโคธารี ณ สุดเขตแดนแค้นอัสสกะ ได้ส่งศิษย์ ๑๖ คนไปถามปัญหาพระศาสดา เพื่อจะทดสอบ่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธะจริงหรือไม่ ภายหลังได้รับคำตอบแล้ ศิษย์ชื่อปิงคิยะซึ่งเป็นหลานของท่านได้กลับมาเล่าเรื่องและแสดงคำตอบปัญหาของพระศาสดา ทำให้ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี
  18. โลกุตตรภูมิ : ชั้นที่พ้นจากโลก, ระดับจิตใจของพระอริยเจ้า (ข้อ ๔ ในภูมิ ๔ อีก ๓ ภูมิ คือ กามจรภูมิ รูปาจรภูมิ อรูปาจรภูมิ)
  19. สัมโภถนาสนา : ให้ฉิบหายเสียจากการกินร่ม, เป็นศัพท์ผูกใหม่ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาชิรญาณโรรส ่าน่าจะใช้แทนคำ่า ทัณฑกรรมนาสนา (การให้ฉิบหายด้ยทัณฑกรรม คือ ลงโทษสามเณร ผู้กล่าตู่พระธรรมเทศนาโดยไล่จากสำนัก และไม่ให้ภิกษุทั้งหลายคบด้ย ตามสิกขาบทที่ ๑๐ แห่งสัปปาณกรรค ปาจิตติยกัณฑ์)
  20. สีมามีฉายาเป็นนิมิต : สีมาที่ทำเงาอย่างใดอย่างหนึ่ง มีเงาภูเขาเป็นต้นเป็นนิมิต (มติสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาชิรญาณโรรส่า สีมาที่ถือเงาเป็นแนนิมิต) จัดเป็นสีมาิบัติอย่างหนึ่ง
  21. อัสสกะ : ชื่อแค้นหนึ่งในบรรดา ๑๖ แค้นใหญ่แห่งชมพูทีป ตั้งอยู่ลุ่มน้ำโคธารี ทิศตะันตกเฉียงเหนือแห่งแค้นอันตี นครหลงชื่อ โปตลิ (บางทีเรียก โปตนะ)
  22. อาฬกะ : ชื่อแค้นหนึ่ง ตั้งอยู่ที่ลุ่มน้ำโคธารี ตรงข้ามกับแค้นอัสสกะ
  23. พยากรณศาสตร์ : ิชาหรือตำรา่าด้ยการทำนาย
  24. ทิพพจักขุญาณ : ญาณ คือทิพพจักขุ, คามรู้ดุจดงอาทิตย์
  25. ทิพพจักขุ : จักษุทิพย์, ตาทิพย์, ญาณพิเศษของพระพุทธเจ้า และท่านผู้ได้อภิญญาทั้งหลาย ทำให้สามารถเล็งเห็นหมู่สัต์ที่เป็นไปต่างๆ กันเพราะอำนาจกรรม เรียกอีกอย่าง่า จุตูปปาตญาณ ดู อภิญญา
  26. ทิพพโสต : หูทิพย์, ญาณพิเศษที่ทำให้ฟังอะไรได้ยินหมดตามปรารถนา ดู อภิญญา
  27. บุพพสิกขาัณณนา : หนังสืออธิบายพระินัย พระอมราภิรักขิต (อมร เกิด) ัดบรมนิาส เป็นผู้แต่ง
  28. ลักษณะพยากรณศาสตร์ : ตำรา่าด้ยการทายลักษณะ
  29. สัพพสังขาเรสุอนิฏฐสัญญา : กำหนดหมายถึงคามไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปง (ข้อ ๙ ในสัญญา ๑๐)
  30. อุภโตพยัญชนก : คนมีทั้ง ๒ เพศ
  31. สิถิล : พยัญชนะออกเสียงเพลา ได้แก่พยัญชนะที่ ๑ ที่ ๓ ในรรคทั้ง ๕ คือ ก ค, จ ช, ฏ ฑ, ต ท, ป พ
  32. อภิธัมมัตถิภาินี : ชื่อคัมภีร์ฎีกาอธิบายคามในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ พระสุมังคละผู้เป็นศิษย์ของพระอาจารย์สารีบุตร ซึ่งเป็นปราชญ์ในรัชกาลของพระเจ้าปรักกมพาหุที่ ๑ (พ) ศ) ๑๖๙๖-๑๗๒๙) รจนาขึ้นในลังกาทีป
  33. อภิธัมมัตถสังคหะ : คัมภีร์ประมล สรุปเนื้อคามในพระอภิธรรมปิฎกอนุรุทธาจารย์แห่งมูลโสมิหาร ในลังกาทีป รจนาขึ้น เมื่อประมาณ พ) ศ) ๑๗๐๐
  34. อโศกมหาราช : พระราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่งของชมพูทีป และเป็นพุทธศาสนูปถัมภกที่สำคัญยิ่ง เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๓ แห่งราชงศ์ โมริยะ ครองราชสมบัติ ณ พระนคร ปาฎลีบุตร ตั้งแต่ พ) ศ) ๒๑๘ ถึง พ) ศ) ๒๖๐ (นักประัติศาสตร์ปัจจุบันส่นมากก่า พ) ศ) ๒๗๐-๓๒๑) เมื่อครองราชย์ได้ ๘ พรรษา ทรงยกทัพไปปราบแค้นกลิงคะที่เป็นชนชาติเข้มแข็งลงได้ ทำให้อาณาจักรของพระองค์ก้างใหญ่ที่สุดในประัติชาติอินเดีย แต่ในการสงครามนั้น มีผู้คนล้มตายและประสบภัยพิบัติมากมาย ทำให้พระองค์สลดพระทัย พอดีได้ทรงสดับคำสอนในพระพุทธศาสนา ทรงเลื่อมใสได้ทรงเลิกการสงคราม หันมาทำนุบำรุงพระศาสนาและคามรุ่งเรืองในทางสงบของประเทศ ทรงสร้างมหาิหาร ๘๔,๐๐๐ แห่ง ทรงอุปถัมภ์การสังคายนาครั้งที่ ๓ และการส่งศาสนทูตออกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในนานาประเทศ เช่น พระมหินถเถระ ไปยังลังกาทีป และพระโสณะพระอุตตระมายังสุรรณภูมิ เป็นต้น ชาพุทธไทยมักเรียกพระองค์่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
  35. อินเดีย : ชื่อประเทศ ตั้งอยู่ทางทิศตะันตกเฉียงเหนือของประเทศไทย ถัดจากประเทศพม่าออกไป มีเมืองหลงชื่อ นิเดลี (New Delhi) อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๓,๑๐๐ กิโลเมตร อินเดียมีเนื้อที่ทั้งหมด ๓,๒๘๗,๕๙๐ ตารางกิโลเมตร มีพลเมืองใน พ) ศ) ๒๕๒๔ ประมาณ ๖๘๓ ล้านคน ครั้งโบราณเรียกชมพูทีป เป็นประเทศที่เกิดพระพุทธศาสนา พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๒,๐๐๐ กิโลเมตร
  36. จุลศักราช : ศักราชน้อย ตั้งขึ้นโดยกษัตริย์พม่าองค์หนึ่งใน พ.ศ.๑๑๘๒ ภายหลังมหาศักราช, เป็นศักราชที่เราใช้กันมาก่อนใช้รัตนโกสินทรศก, นับรอบปีตั้งแต่ ๑๖ เมษายน ถึง ๑๕ เมษายน เขียนย่อ่า จ.ศ.(พ.ศ.๒๕๒๒ ตรงกับ จ.ศ.๑๓๔๐-๑๓๔๑)
  37. ธัมมปทัฏฐกถา : คัมภีร์อรรถกถา อธิบายคามในธรรมบทแห่งขุททกนิกาย ในพระสุตตันตปิฎก พระพุทธโฆษาจารย์รจนา หรือเป็นหัหน้าในการรจนาขึ้น เมื่อ พ.ศ.ใกล้จะถึง ๑๐๐๐ (ชื่อเฉพาะ่า ปรมัตถโชติกา)
  38. เนปาล : ชื่อประเทศอันเคยเป็นที่ตั้งของแค้นศากยะบางส่น รมทั้งลุมพินีอันเป็นที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดียและทางใต้ของประเทศจีน มีเนื้อที่ ๑๔๐,๗๙๗ ตารางกิโลเมตร มีพลเมืองประมาณ ๑๓,๔๒๐,๐๐๐ คน (พ.ศ.๒๕๒๑); หนังสือเก่าเขียน เนปอล
  39. บอกศักราช : เป็นธรรมเนียมของพระสงฆ์ไทยแต่โบราณ มีการบอกกาลเลา เรียก่าบอกศักราช ตอนท้ายสดมนต์ และก่อนจะแสดงพระธรรมเทศนา (หลังจากให้ศีลจบแล้) ่าทั้งภาษาบาลีและคำแปลภาษาไทย การบอกอย่างเก่า บอกปี ฤดู เดือน ัน ทั้งที่เป็นปัจจุบัน อดีต และอนาคต คือบอก่าล่งไปแล้เท่าใด และยังจะมีมาอีกเท่าใด จึงจะครบจำนนอายุพระพุทธศาสนา๕พันปี แต่ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๔ ที่รัฐบาลประกาศใช้ันที่ ๑ มกราคม เป็นันขึ้นปีใหม่ เป็นต้นมา ได้มีิธีบอกศักราชอย่างใหม่ขึ้นใช้แทน บอกเฉพาะปี พ.ศ.เดือน ันที่ และันในปัจจุบัน ทั้งบาลีและคำแปล บัดนี้ไม่นิยมกันแล้ คงเป็นเพราะมีปฏิทินและเครื่องบอกเลาอย่างอื่น ใช้กันดื่นทั่ไป
  40. ใบฎีกา : 1.หนังสือนิมนต์พระ ตัอย่าง “ขออาราธนาพระคุณเจ้า (พร้อมด้ยพระสงฆ์ในัดนี้อีก......รูป) เจริญพระพุทธมนต์ (หรือสดมนต์ หรือแสดงพระธรรมเทศนา) ในงาน.....บ้าน เลขที่.......ตำบล.......อำเภอ.......ในันที่......เดือน.......พ.ศ........เลา......น.” (หากจะอาราธนาให้รับอาหารบิณฑบาตเช้าหรือเพลหรือมีการตักบาตรใช้ปิ่นโต ก็ให้ระบุไ้ด้ย) 2.ตำแหน่งพระฐานานุกรมรองจากสมุห์ลงมา
  41. ปปัญจสูทนี : ชื่อคัมภีร์อรรถกถาที่อธิบายคามในมัชฌิมนิกาย แห่งพระสุตตันตปิฎก พระพุทธโฆษาจารย์เรียบเรียงจากอรรถกถาภาษาสิงหฬ เมื่อ พ.ศ.ใกล้จะถึง ๑๐๐๐
  42. ปรมัตถโชติกา : ชื่อคัมภีร์อรรถกถาอธิบายคามในขุททกปาฐะ ธรรมบทสุตตนิบาต และชาดก แห่งพระสุตตันตปิฎก พระพุทธโฆษาจารย์รจนาหรือเป็นหัหน้าในการจัดเรียบเรียงขึ้น เมื่อ พ.ศ.ใกล้จะถึง ๑๐๐๐
  43. โพธิ : ต้นโพธิ์, ต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าได้ประทับ ณ ภายใต้ร่มเงาในคราตรัสรู้, ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้และต้นไม้อื่นที่เป็นชนิดเดียกันนั้น สำหรับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้แก่ พันธุ์ไม้อัสสัตถะ (ต้นโพ) ต้นที่อยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลคยา; ต้นโพธิ์ ตรัสรู้ที่เป็นหน่อของต้นเดิมที่คยา ได้ปลูกเป็นต้นแรกในสมัยพุทธกาล (ปลูกจากเมล็ด) ที่ประตูัดพระเชตัน โดยพระอานนท์เป็นผู้ดำเนินการตามคามปรารภของอนาถบิณฑิกเศรษฐี และเรียกชื่อ่า อานันทโพธิ; หลังพุทธกาล ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระนาง สังฆมิตตาเถรี ได้นำกิ่งด้านขาของต้นมหาโพธิ์ที่คยานั้นไปมอบแด่พระเจ้าเทานัมปิยติสสะ ทรงปลูกไ้ ณ เมืองอนุราธปุระ ในลังกาทีป ซึ่งได้ชื่อ่าเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่สุดในประัติศาสตร์ที่ยังคงมีชีิตอยู่ในปัจจุบัน; ในประเทศไทย สมัยราชงศ์จักรี พระสมณทูตไทยในสมัย ร.๒ ได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์ที่เมืองอนุราธปุระมา ๖ ต้น ใน พ.ศ. ๒๓๕๗ โปรดให้ปลูกไ้ที่เมืองนครศรีธรรมราช ๒ ต้น นอกนั้นปลูกที่ัดมหาธาตุ ัดสุทัศน์ ัดสระเกศและที่เมืองกลันตัน แห่งละ ๑ ต้น; ต่อมา ในสมัย ร.๕ ประเทศไทยได้พันธุ์ต้นมหาโพธิจากคยาโดยตรงครั้งแรก ได้ปลูกไ้ ณ ัดเบญจมบพิตรและัดอัษฎางคนิมิตร
  44. โพธิพฤกษ์ : ต้นโพธิ์, ต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าได้ประทับ ณ ภายใต้ร่มเงาในคราตรัสรู้, ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้และต้นไม้อื่นที่เป็นชนิดเดียกันนั้น สำหรับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้แก่ พันธุ์ไม้อัสสัตถะ (ต้นโพ) ต้นที่อยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลคยา; ต้นโพธิ์ ตรัสรู้ที่เป็นหน่อของต้นเดิมที่คยา ได้ปลูกเป็นต้นแรกในสมัยพุทธกาล (ปลูกจากเมล็ด) ที่ประตูัดพระเชตัน โดยพระอานนท์เป็นผู้ดำเนินการตามคามปรารภของอนาถบิณฑิกเศรษฐี และเรียกชื่อ่า อานันทโพธิ; หลังพุทธกาล ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระนาง สังฆมิตตาเถรี ได้นำกิ่งด้านขาของต้นมหาโพธิ์ที่คยานั้นไปมอบแด่พระเจ้าเทานัมปิยติสสะ ทรงปลูกไ้ ณ เมืองอนุราธปุระ ในลังกาทีป ซึ่งได้ชื่อ่าเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่สุดในประัติศาสตร์ที่ยังคงมีชีิตอยู่ในปัจจุบัน; ในประเทศไทย สมัยราชงศ์จักรี พระสมณทูตไทยในสมัย ร.๒ ได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์ที่เมืองอนุราธปุระมา ๖ ต้น ใน พ.ศ. ๒๓๕๗ โปรดให้ปลูกไ้ที่เมืองนครศรีธรรมราช ๒ ต้น นอกนั้นปลูกที่ัดมหาธาตุ ัดสุทัศน์ ัดสระเกศและที่เมืองกลันตัน แห่งละ ๑ ต้น; ต่อมา ในสมัย ร.๕ ประเทศไทยได้พันธุ์ต้นมหาโพธิจากคยาโดยตรงครั้งแรก ได้ปลูกไ้ ณ ัดเบญจมบพิตรและัดอัษฎางคนิมิตร
  45. มโนรถปูรณี : ชื่อคัมภีร์อรรถกถาอธิบายคามในอังคุตตรนิกาย แห่งพระสุตตันตปิฎก พระพุทธโฆษาจารย์เรียบเรียงจากอรรถกถาภาษาสิงหฬ เมื่อ พ.ศ.ใกล้จะถึง ๑๐๐๐
  46. มหางส์ : ชื่อหนังสือพงศาดารลังกา เรื่องใหญ่ แต่งขึ้นในสมัยอรรถกถาพรรณนาคามเป็นมาของพระพุทธศาสนาและชาติลังกา ตั้งแต่เริ่มตั้งงศ์กษัตริย์สิงหล ในตอนพุทธปรินิพพาน จนถึงประมาณ พ.ศ.๙๐๔ ประัติต่อจากนั้นมีคัมภีร์ชื่อ จูฬงส์ พรรณนาต่อไป
  47. มังคลัตถทีปนี : ชื่อคัมภีร์อธิบายมงคล ๓๘ ประการ ในมงคลสูตร พระสิริมังคลาจารย์แห่งลานนาไทย รจนาขึ้นที่เมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.๒๐๖๗ โดยรบรมคำอธิบายจากอรรถกถาฎีกา อนุฎีกาต่างๆ เป็นอันมาก พร้อมทั้งคำบรรยายของท่านเอง
  48. มิลินท์ : มหากษัตริย์เชื้อชาติกรีก แห่งสาคลประเทศในชมพูทีป ผู้เป็นปราชญ์ยิ่งใหญ่ โต้าทะชนะนักปราชญ์ทั้งหลายในสมัยนั้น จนในที่สุดได้โต้กับพระนาคเสน ยอมเลื่อมใสหันมานับถือพระพุทธศาสนา และเป็นองค์อุปถัมภกสำคัญ พระนามภาษากรีก่า พระเจ้าเมนานเดอร์ ครองราชย์ พ.ศ.๔๒๓ สรรคต พ.ศ.๔๕๓
  49. ัฏฏคามณีอภัย : ชื่อพระเจ้าแผ่นดินแห่งเกาะลังกาพระองค์หนึ่ง ครองราชย์ประมาณ พ.ศ.๕๑๕-๕๒๗ ถูกพกทมิฬแย่งชิงราชสมบัติ เสด็จไปซ่อนพระองค์อยู่ในป่า และได้รบคามช่ยเหลือจากพระเถระรูปหนึ่ง ต่อมาพระองค์กู้ราชสมบัติคืนมา ได้ทรงสร้างอภัยคีรีิหารและอาราธนาพระเถระรูปนั้นมาอยู่ครอง กับทั้งได้ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอีกเป็นอันมาก การสังคายนาครั้งที่ ๕ ที่จารึกพุทธพจน์ลงในใบลาน ก็จัดทำในรัชกาลนี้
  50. ัตถุ ๑๐ : เรื่องที่เป็นต้นเหตุ, ข้อซึ่งเป็นที่ตั้งหรือเป็นจุดเริ่มเรื่อง, ข้อปฏิบัติ ๑๐ ประการของพกภิกษุัชชีบุตร ชาเมืองเสาลี ที่ผิดเพี้ยนย่อหย่อนทางพระินัย แปลจากสงฆ์พกอื่นเป็นเหตุปรารภให้มีการสังคายนาครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ.๑๐๐
  51. [1-50] | 51-80

(0.0168 sec)