flock after : (PHRV) ; แห่ตาม (อย่างชื่นชม) ; Related:พากันตาม

flock in : (PHRV) ; แห่กันมาถึง ; Related:ตามมาถึง ; Syn:flock into

flock into : (PHRV) ; แห่กันมาถึง ; Related:ตามมาถึง ; Syn:flock in

cortege : (N) ; ขบวนแห่ศพ

drum major : (N) ; ผู้นำวงดนตรีในขบวนแห่ ; Related:ดรัมเมเยอร์ ; Syn:bandleader, conductor, maestro

float : (N) ; ขบวนรถแห่ในงานรื่นเริง

flock : (VI) ; ูแห่กันไปป ; Related:จับกลุ่ม, กรู, รวมตัว, รวมกลุ่ม ; Syn:gather, crowd, mass ; Ant:spread, scatter

parade : (N) ; ขบวนแห่ ; Syn:series, chain, catana

flock round : (PHRV) ; ล้อมรอบ ; Related:แห่มาล้อม, เข้ามาล้อม

resort : (VT) ; ชอบไป ; Related:แห่กันไป ; Syn:frequent, haunt

parade : (VT) ; เดินขบวน ; Related:เดินพาเหรด, เดินแห่

Seven Wonders of the World : (N) ; 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ; Related:ได้แก่ สวนลอยแห่งบาบิโลน ปีระมิดที่อียิปต์ สุสานที่ Halicarnassus วิหารแห่งอาร์ทีมิสที่ Ephesus รูปปั้นเทพเจ้าซีอุสโดยฟิเดียแห่งโอลิมเปีย รูปปั้นยักษ์ที่เกาะโรดส์และประภาคารยักษ์ที่เมืองอเล็กซานเดรีย

แห่ : (V) ; flock ; Related:throng, crowd, mass, gather, congregate, huddle ; Syn:กรู ; Def:ไปกันเป็นพวกเป็นหมู่มากๆ ; Samp:ชาวบ้านในละแวกนี้แห่กันมาดูรถของเขาราวกับว่ามันเป็นยานอวกาศ

แห่ : (N) ; parade ; Related:procession, array, cavalcade ; Syn:ขบวน ; Def:ขบวนที่เดินไปพร้อมด้วยการตกแต่งต่างๆ อย่างครึกครื้น ; Samp:เขาชะโงกหน้าออกไปทางหน้าต่างเพื่อดูขบวนแห่ ; Unit:ขบวน

แห่ห้อม : (V) ; surround ; Related:encircle, besiege, beset, encompass ; Syn:ห้อมล้อม, แหนแห่, แห่ห้อม ; Def:แวดล้อมไป ; Samp:ชายหนุ่มแห่ห้อมล้อมกันมากับบั้งไฟ

กระบวนแห่ : (N) ; procession ; Related:cortege, parade, contingents of marchers ; Syn:ขบวนแห่ ; Samp:กระบวนแห่นาคยาวเต็มถนนจนการจราจรติดขัด ; Unit:กระบวน, ขบวน

ขบวนแห่ : (N) ; procession ; Related:parade, cortege, cavalcade ; Syn:ขบวน, กระบวน ; Samp:วัฒนธรรมล้านนายังนิยมใช้กลองหลวงเพื่อเข้าขบวนแห่หรือขบวนฟ้อน

เดินแถว : (V) ; march ; Related:walk in a line, line up ; Syn:เดินขบวน, เดินพาเหรด, แห่ ; Samp:ทหารเดินแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

แห่แหน : (V) ; parade ; Related:go into procession, surround for protection ; Syn:แหนแห่, ห้อมล้อม, แห่ ; Def:รวมกันเป็นกระบวนมากมาย ; Samp:ฝูงชนมากมายต่างแห่แหนกันเข้าไปชมสรีระของหลวงพ่ออย่างเนืองแน่น

แห่ : น. ขบวนที่ไปพร้อมกันด้วยวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง อาจมีการ ตกแต่งหรือมีดนตรีประกอบเป็นต้น เช่น แห่นาค แห่ขันหมาก แห่ศพ. ก. ไปกันเป็นพวกเป็นหมู่มาก ๆ.

แห่ห้อม : ก. แวดล้อมไป.

ห่อแห่, ห้อแห้ : ว. มีอาการท้อแท้อ่อนเปลี้ย.

กฐิน, กฐิน- : [กะถิน, กะถินนะ-] น. ผ้าพิเศษที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแก่ ภิกษุสงฆ์เฉพาะกฐินกาล, ตามศัพท์แปลว่า ไม้สะดึง คือ กรอบไม้สำหรับขึงผ้าที่จะเย็บเป็นจีวร; คํา กฐิน นี้ ใช้ประกอบ กับคําอื่นอันเนื่องด้วยพิธีกฐิน ผ้าที่ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ในพิธีนี้ เรียกว่า ผ้ากฐิน ในฤดูกาลเรียกว่า กฐินกาล [กะถินนะกาน] คือระยะเวลาตั้งแต่แรมค่าหนึ่ง เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ ระยะเวลานี้เรียกเป็นสามัญว่า เทศกาลกฐิน [เทดสะกานกะถิน] ฤดูกฐิน หรือ หน้ากฐิน ก็มี ก่อนจะถึงกฐินกาลผู้ประสงค์จะถวาย ผ้ากฐินแก่ภิกษุสงฆ์วัดใดจะต้องไปแจ้งความจํานงว่าจะนำผ้ากฐิน ไปทอดที่วัดนั้นเป็นการล่วงหน้า การแสดงความจํานงล่วงหน้านี้ เรียกว่า จองกฐิน การทําพิธีถวายผ้ากฐิน เรียกว่า ทอดกฐิน พระภิกษุผู้ได้รับมอบผ้ากฐินจากสงฆ์โดยวิธีที่กําหนดไว้ใน พระวินัย เรียกว่า ผู้กรานกฐิน ผู้ครองกฐิน หรือ องค์ครองกฐิน เฉพาะผ้ากฐิน บางทีก็เรียกว่า องค์กฐิน ถ้าพร้อมกับของอื่นอัน เป็นบริวารสําหรับถวายภิกษุสงฆ์ เรียกว่า เครื่องกฐิน หรือ บริวารกฐิน [บอริวานกะถิน] เมื่อนําผ้ากฐินไปทอดโดยมีขบวน แห่ เรียกว่า แห่กฐิน ถ้ามีพิธีฉลอง เรียกว่า ฉลองกฐิน การที่ภิกษุสงฆ์ผู้ร่วมอยู่ในพิธีอนุโมทนาต่อองค์ครองกฐิน ตามพระวินัย หรือการที่บุคคลแสดงความยินดีในการที่เขาทอดกฐิน เรียกว่า อนุโมทนากฐิน [อะนุโมทะนากะถิน] ภิกษุสงฆ์ผู้ได้ อนุโมทนากฐินแล้วนั้น ย่อมได้ชื่อว่าเป็น ผู้กรานกฐิน ด้วย ผลของ การทอดกฐิน เรียกว่า อานิสงส์กฐิน, ในทางวินัยสิทธิพิเศษ ๕ ประการซึ่งมีแก่ภิกษุผู้ได้กรานกฐินแล้ว ก็เรียกว่า อานิสงส์กฐิน เช่นกัน. (ดู กรานกฐิน และ จุลกฐิน).

กรรชิง : [กัน-] น. เครื่องเข้ากระบวนแห่ในการพระราชพิธีบางอย่างเช่น รับช้างเผือกหรือแรกนาขวัญเป็นต้น รูปคล้ายกลด มีคันถือคล้าย ร่ม, โบราณใช้เป็นร่มเครื่องยศ คู่กันกับคานหามตามบรรดาศักดิ์ มีชั้นตามที่หุ้มผ้าแดงหรือหุ้มผ้าขาวโรยทอง เรียกว่า พื้นกํามะลอ, ถ้ามีริ้วขาวและน้ำเงินสลับกันที่ระบาย เรียกว่า กรรชิงเกล็ด, กระชิง กระฉิ่ง กะชิง กันฉิ่ง หรือ กันชิง ก็เรียก.

คยากัสสป : นักบวชชฎิลแห่งกัสสปโคตร ตั้งอาศรมอยู่ที่ตำบลคยาสีสะเป็นน้องชายคนเล็กของอุรุเวลากัสสปะ ออกบวชตามที่ชาย พร้อมด้วยชฎิล ๒๐๐ ที่เป็นบริวาร ได้ฟังพระธรรมเทศนาอาทิตตปริยายสูตร บรรลุพระอรหัตและเป็นมหาสาวกองค์หนึ่งในอสีติมหาสาวก

นทีกัสสป : นักบวชชฎิลแห่งกัสสปโคตร น้องชายของอุรุเวลกัสสปะ พี่ชายของคยากัสสปะ ออกบวชตามพี่ชาย พร้อมด้วยชฎิลบริวาร ๓๐๐ คน สำเร็จพระอรหัตด้วยฟังอาทิตตปริยายสูตร เป็นมหาสาวกองค์หนึ่งในอสีติมหาสาวก

ผลญาณ : ญาณในอริยผล, ญาณที่เกิดขึ้นในลำดับ ต่อจากมัคคญาณ และเป็นผลแห่งมัคคญาณนั้น ซึ่งผู้บรรลุแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นพระอริยบุคคลขั้นนั้นๆ มีโสดาบัน เป็นต้น; ดู ญาณ๑๖

ภัททกาปิลานี : พระมหาสาวิกาองค์หนึ่ง เป็นธิดาพราหมณ์โกสิยโคตรในสาคลนครแห่งมัททรัฐ (คัมภีร์อปทานว่าไว้ชัดดังนี้ แต่อรรถกถาอังคุตตรนิกายคลาดเคลื่อนเป็นแคว้นมคธ) พออายุ ๑๖ ปี ได้สมรสกับปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) ต่อมามีความเบื่อหน่ายในฆราวาส จึงออกบวชเป็นปริพาชิกา เมื่อพระมหาปชาบดีผนวชเป็นภิกษุณีแล้ว นางได้มาบวชอยู่ในสำนักของพระมหาปชาบดี เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานด้วยความไม่ประมาท ได้บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางปุพเพนิวาสานุสสติ เรียกภัททากาปิลานี บ้าง ภัททากปิลานีบ้าง

วินิบาต : โลกหรือวิสัยเป็นที่ตกไปแห่งสัตว์อย่างไร้อำนาจ, แดนเป็นที่ตกลงไปพินาศย่อยยับ; อรรถกถาแห่งอิติวุตตกะอธิบายนัยหนึ่งว่าเป็นไวพจน์ของคำว่านรกนั่นเอง อีกนัยหนึ่งว่า หมายถึงกำเนิดอสุรกาย

อนาโรจนา : การไม่บอก คือ ไม่บอกประจานตัวแก่ภิกษุทั้งหลายภายในเขต ๒ เลฑฑุบาตจากเครื่องล้อมหรือจากอุปจารแห่งอาวาส ให้รู้ทั่วกันว่าตนต้องอาบัติสังฆาทิเสส กำลังอยู่ปริวาสหรือประพฤติมานัตต์; เป็นเหตุอย่างหนึ่งของการขาดราตรีแห่งมานัตต์หรือปริวาส ผู้ประพฤติมานัตต์ ต้องบอกทุกวัน แต่ผู้อยู่ปริวาส ไม่ต้องบอกทุกวัน ปกตัตตภิกษุรูปใดยังไม่ได้รับบอก เธอบอกแก่ภิกษุรูปนั้นครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ต้องบอกอีกตลอดกาลที่อยู่ในอาวาสหรือในอนาวาสนั้นแต่ต้องบอกในท้ายอุโบสถ ท้ายปวารณาเมื่อถึงวันนั้นๆ และภิกษุใดได้รับบอกแล้ว ออกจากอาวาสหรืออนาวาสนั้นไป เมื่อกลับมาใหม่ต้องได้รับบอกอีก ดู รัตติเฉท

อูเน คเณ จรณํ : การประพฤติ (วัตร) ในคณะอันพร่อง คือ ประพฤติในถิ่น เช่น อาวาส ที่มีปกตัตตภิกษุไม่ครบองค์สงฆ์ คือไม่ถึง ๔ รูป แต่ที่นิยมปฏิบัติกันมาไม่ต่ำกว่า ๕ รูป; เป็นเหตุอย่างหนึ่งของรัตติเฉทแห่งมานัตต์ ดู รัตติเฉท

กจฺจาน กจฺจายน กาติยาน : (ปุ.) คนเป็นเหล่า กอแห่งกัจจะ, คนเนื่องในวงศ์กัจจะ อิตถิ ลิงค์ลง อี การันต์.

กาติยาน : (ปุ.) คนเป็นเหล่ากอแห่งกัจจะ, คนเป็นเชื้อวงศ์แห่งกัจจะ. แปลง กจฺจายน เป็น กาติยาน.

กาติยานี : (อิต.) หญิงผู้เป็นเหล่ากอแห่งกัจจะ, หญิงผู้เป็นเชื้อสายในวงศ์กัจจะ.

กามสุตฺต : นป. กามสูตร, เป็นชื่อพระสูตรที่หนึ่งแห่งอัฏฐกวรรคสุตตนิบาต

โคตฺตภู โคตฺรภู : (ปุ.) ธรรมอันครอบงำ โคตร ปุถุชนยังโคตรอริยะให้เกิด, ธรรม ( คือ อารมณ์ที่เกิดกับใจ ) อันยังเชื้อชาติแห่ง มหัคคตะหรือเชื้อชาติแห่งโลกุตตระให้ เจริญ วิ. มหคฺคตสฺส โลกุตฺตรสฺส วา โคตฺตํ ภาเวติ วุฑฺเฒตีติโคตฺตภู โคตฺรภู วา รูปฯ ๑๙๙ ว่า โคตฺตภู โคตฺรภู เป็น อูการันต์ นปุ. และรัสสะเป็น อุ เป็น โคตฺตภุ โคตฺรภุ เป็น อูการันต์ นปุ. และรัสสะเป็น อุ เป็น โคตฺตภุ โคตฺรภุ ได้ แปลว่า จิตอัน ครอบงำ โคตรปุถุชน ยังโคตรอริยะให้เกิด, จิตอัน ยังเชื้อชาติแห่งมหัคคตะหรือเชื้อชาติแห่ง โลกุตตระให้เกิด, ชวนจิตอันยัง...ให้เกิด.

ธมฺมราช : (ปุ.) พระราชาแห่งะรรม, พระราชาโดยธรรม, พญาโดยธรรม, พระธรรมราชาเป็นพระนามของพระพุทธเจ้าทั้งปวง. วิ. ธมฺมสฺส ราชา ธมฺมราชา. ธมฺมสฺส วา ราชาปวคฺคกคฺคา ธมฺมราชา. ธมฺมเมน ราชตีติ วา ธมฺมราชา. ส. ธรฺมราช.

ธมฺมวิจยสมฺโพชฺฌงฺค : (นปุ.) องค์แห่งะรรมเป็นเครื่องตรัสรู้คือการเลือกเฟ้นซึ่งธรรม ฯลฯ.

ธมฺมเสนานี : (ปุ.) แม่ทัพแห่งะรรม, แม่ทัพ ธรรม.