Submitted by wd on Fri, 2007-12-28 08:42
... ที่เรายังยืดอกภาคภูมิใจว่าเราเป็นมนุษย์อยู่นี่ ก็เพราะเราไม่รู้ว่ามันเกิดตายกันมากี่ชาติแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดเป็นอะไรกันมาบ้างกี่ชาติแล้ว ...
Submitted by wd on Tue, 2007-12-04 09:48
เมื่อวานมีเพื่อนมาคุยธรรมะกันนาน แต่ชอบใจที่เพื่อนนำธรรมะมาเตือนตัวเอง เป็นของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย
"บ่ต้องดีใจ บ่ต้องเสียใจ ฮ้ายกะซ่าง ดีกะซ่าง (ร้ายก็ช่าง ดีก็ช่าง)"
Submitted by wd on Tue, 2007-10-16 00:35
-
เรามากำหนดหยั่งรู้ในสภาวธรรมแล้วก็ปล่อยวางขณะหนึ่ง ๆ น่ะ การปล่อยวางต้องปล่อยอย่างมีสติ สตินี่ละไม่ได้ ถ้าทิ้งสติแล้วปล่อยไม่ได้ ตัดอารมณ์ไม่ได้
- เหมือนกับตัดเชือกน่ะ เอาเชือกวางบนดิน เราเอามีดสับปุ๊ป เชือกมันไม่ขาด ให้เอาไม้มารองสักแผ่นนึง ตัดแล้วมันขาด ฉันใดก็ฉันนั้น สติมันต้องอยู่ตามฐาน
Submitted by wd on Mon, 2007-10-01 14:35
เทคนิกคือ รอให้รักแห้งจนเกือบสนิท แล้วจึงปิดทองคำเปลว กะเวลาว่าเมื่อปิดทองเสร็จแล้ว รักแห้งสนิทพอดี จะได้ผิวทองที่ตึงสวยงาม
ปัจจุบันหารักยากแล้ว จะใช้สีแทน ขั้นตอนคือ
- ปัดผิวองค์พระ (หรือวัสดุที่จะปิดทอง) ให้สะอาด อย่าให้มีฝุ่นผงติดอยู่
- ลงสีรองพื้นตราทหาร เบอร์ 5925 ด้วยพู่กันเบอร์ 0 ทิ้งไว้ข้ามคืนให้แห้งสนิท
Submitted by wd on Thu, 2007-09-13 16:23
ที่พูดว่าละอวิชชา ไม่ใช่หมายถึงธรรมขั้นสูงแค่ไหนนะ เพราะว่าการละกิเลส มันมี ๓ ขั้น ตทังคปหาน ละชั่วขณะด้วยวิปัสสนาในขณะจิตนั้น ๆ วิกขัมภนปหาน โดยการข่มด้วยสมถะ สมุจเฉทปหาน คือละอย่างถอนรากถอนโคน เมื่อมรรคผลนิพพานเกิด เพราะฉะนั้นการที่เรามาพูดเรื่องละอวิชชาเนี่ย ก็คือละขณะหนึ่งๆ ด้วยวิปัสสนาญาณของเราขณะหนึ่ง ๆ ด้วยตทังคปหานเนี่ยแหละ เราอย่าคิดว่าเป็นเรื่องสูงสุดเอื้อมแล้วก็ไม่ทำ คือเราต้องละขณะหนึ่งให้ได้ ละอวิชชาด้วยการแจ่มแจ้งในปัจจุบันอารมณ์ด้วยจิตที่ถึงพร้อมด้วยสมาธิ ที่ถึงพร้อมด้วยสติและอุเบกขา แจ่มแจ้งอารมณ์ขณะหนึ่งๆ เห็นความเกิดดับเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา แล้วจิตเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น เนี่ยละขณะหนึ่งให้มันได้ ถ้าเราละขณะหนึ่งได้ เมื่อบารมีรวมตัวมรรคผลประหารเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ท่าน อันนี้ไม่เกี่ยวกับเรา แต่หน้าที่ที่เราต้องทำเนี่ยคือตทังคปหานต้องทำให้ได้ทุกขณะจิต ไม่งั้นไม่เรียกว่าผู้วิปัสสนา
Pages
Recent comments